ขอให้ผู้ใฝ่ธรรมทุกท่านมีความสุขกายสุขใจเถิด

ธัมมจักกัปปวัตนสูตร


เริ่มธัมมจักกัปปวัตตนสูตร


อะนุตตะรัง อะภิสัมโพธิง สัมพุชฌิต๎วา ตะถาคะโต,
พระตถาคตเจ้า ได้ตรัสรู้ซึ่งพระอนุตตระ สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว,
ปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง, สัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต โลเก อัปปะฏิวัตติยัง,
เมื่อจะทรงประกาศธรรมที่ใครๆ ยังมิได้ให้เป็นไปแล้วในโลก, ให้เป็นไปโดยชอบแท้, ได้ทรงแสดง(ซึ่ง)พระ อนุตตระธรรมจักรใดก่อน,
ยัตถากขาตา อุโภอันตา ปะฏิปัตติ จะ มัชฌิมา, จะตูส๎วาริยะสัจเจสุ วิสุทธัง ญาณะทัสสะนัง,
คือว่าพระองค์ตรัสรู้ ซึ่งที่สุดสองประการ และข้อปฏิบัติ(อัน)เป็นกลาง, แลปัญญาอันรู้เห็นในอริยสัจทั้งสี่ของพระองค์(อัน)หมดจดแล้วในธรรมจักรใด
เทสิตัง ธัมมะราเชนะ สัมมาสัมโพธิกิตตะนัง, นาเมนะ วิสสุตัง สุตตัง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง, เวยยากะระณะปาเฐนะ สังคีตันตัมภะณามะ เส.
เราทั้งหลายจงสวดธรรมจักรนั้น, ที่พระองค์ผู้พระธรรมราชาทรงแสดงแล้ว, ปรากฏโดยชื่อว่าธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร, เป็นสูตรประกาศพระสัมมาสัมโพธิญาณ, อันพระสังคีติกาจารย์ร้อยกรองไว้ โดยบาลีไวยากรณ์ เทอญฯ.


ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

เอวัมเม สุตัง,
ข้าพเจ้า(คือพระอานนท์เถระ)ได้ฟังมาแล้วอย่างนี้,
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา,
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า,
พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย,
เสด็จประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี,
ตัต๎ระ โข ภะคะวา ปัญจะ วัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ,
ในกาลนั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสเตือนพระภิกษุปัญจวัคคีย์, ให้ตั้งใจฟังภาษิตนี้ว่า,
เท๎วเม ภิกขะเว อันตา,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ที่สุดสองอย่างเหล่านี้,
ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา,
อันบรรพชิตไม่ควรเสพ,
โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค,
คือการประกอบตนให้พัวพัน ด้วยกามในกามทั้งหลายนี้ใด,
หีโน,
เป็นธรรมอันเลว,
คัมโม,
เป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือน,
โปถุชชะนิโก,
เป็นของคน(ผู้)มีกิเลสหนา,
อะนะริโย,
ไม่ใช่ของคนไปจากข้าศึก คือ กิเลส,
อะนัตถะสัญหิโต,
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์อย่างหนึ่ง,
โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค,
คือการประกอบ(ด้วย)ความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่านี้ใด,
ทุกโข,
ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ,
อะนะริโย,
ไม่นำผู้ประกอบให้ไปจากข้าศึก คือ กิเลส,
อะนัตถะสัญหิโต,
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์อย่างหนึ่ง,
เอ เต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ข้อปฏิบัติ อันเป็นกลางไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั่นนั้น,
ตะถาคะเตนะ อภิสัมพุทธา,
อันตถาคต ได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง,
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี,
กระทำดวงตา คือกระทำญาณเครื่องรู้,
อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ,
ย่อมเป็นไป เพื่อความเข้าไปสงบระงับ, เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ,
กะตะมา จะ สาภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ข้อปฏิบัติซึ่งเป็นกลางนั้นเหล่าไหน,
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา,
ที่ตถาคต ได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง,
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี,
กระทำดวงตา คือกระทำญาณเครื่องรู้,
อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ,
ย่อมเป็นไป เพื่อความเข้าไปสงบระงับ, เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ,
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค,
ทางมีองค์แปดเครื่องไปจากข้าศึก คือ กิเลสนี้เอง,
เสยยะถีทัง,
ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ,
(๑) สัมมาทิฏฐิ,
ปัญญาอันเห็นชอบ,
(๒) สัมมาสังกัปโป,
ความดำริชอบ,
(๓) สัมมาวาจา,
วาจาชอบ,
(๔) สัมมากัมมันโต,
การงานชอบ,
(๕) สัมมาอาชีโว,
ความเลี้ยงชีวิตชอบ,
(๖) สัมมาวายาโม,
ความเพียรชอบ,
(๗) สัมมาสะติ,
ความระลึกชอบ,
(๘) สัมมาสะมาธิ,
ความตั้งจิตชอบ,
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,อันนี้แลข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง,
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา,
ที่ตถาคต ได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง,
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี,
กระทำดวงตา คือกระทำญาณเครื่องรู้,
อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ,
ย่อมเป็นไป เพื่อความเข้าไปสงบระงับ, เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ,
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ข้อนี้แลของจริง แห่งอริยบุคคล คือ ทุกข์,
ชาติปิ ทุกขา,
แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์,
ชะราปิ ทุกขา,
แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์,
มะระณัมปิ ทุกขัง,
แม้ความตายก็เป็นทุกข์,
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัส สุปายาสาปิ ทุกขา,
แม้ความโศกความร่ำไรรำพัน, ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ, ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์,
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข,
ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์,
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข,
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์,
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง,
มีความปรารถนาสิ่งใด, ไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์,
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา,
ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้งห้า เป็นตัวทุกข์,
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว  ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ข้อนี้แลของจริง แห่งอริยบุคคล คือ เหตุให้ทุกข์เกิดขึ้น,
ยายัง ตัณหา,
ความทะยานอยากนี้ใด,
โปโนพภะวิกา,
ทำความเกิดอีก,
นันทิราคะสะหะคะตา,
เป็นไปกับความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน,
ตัต๎ระ ตัต๎รา ภินันทินี,
เพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ,
เสยยะถีทัง,
ได้แก่สิ่งเหล่านี้,
กามะตัณหา,
ความทะยานอยากในอารมณ์ที่ใคร่,
ภะวะตัณหา,
ความทะยานอยากในความมีความเป็น,
วิภะวะตัณหา,
ความทะยานอยากในความไม่มีไม่เป็น,
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว  ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ข้อนี้ แลของจริง แห่งอริย บุคคล คือ ความดับทุกข์,
โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ,
ความดับโดยไม่ติดย้อม  อยู่ได้โดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้น นั่นแหละอันใด,
จาโค,
ความสละตัณหานั้น,
ปะฏินิสสัคโค,
ความวางตัณหานั้น,
มุตติ,
ความปล่อยตัณหานั้น,
อะนาละโย,
ความไม่พัวพันแห่งตัณหานั้น,
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเวทุกขะนิโรธะคามินีปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ข้อนี้ แลของจริงแห่งอริยบุคคลคือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์,
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค,
ทางมีองค์แปดเครื่องไปจากข้าศึกคือ กิเลสนี้เอง,
เสยยะถีทัง,
ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ,
(๑) สัมมาทิฏฐิ,
ปัญญาอันเห็นชอบ,
(๒) สัมมาสังกัปโป,
ความดำริชอบ,
(๓) สัมมาวาจา,
วาจาชอบ,
(๔) สัมมากัมมันโต,
การงานชอบ,
(๕) สัมมาอาชีโว,
ความเลี้ยงชีวิตชอบ,
(๖) สัมมาวายาโม,
ความเพียรชอบ,
(๗) สัมมาสะติ,
ความระลึกชอบ,
(๘) สัมมาสะมาธิ,
ความตั้งจิตชอบ,
อิทัง ทุกขัง อะริยะ สัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว, ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว, แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า, นี่ทุกขอริยสัจ,
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง, ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้ ด้วยปัญญา,
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง, ปะริญญา ตันติ เม ภิกขะเว,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล อันเราได้กำหนดรู้แล้ว,
อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะ สัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว, ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว, แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า, นี่ทุกขสมุทัยอริยสัจ,
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง, ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละเสีย,
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง, ปะหีนันติ เมภิกขะเว,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล อันเราได้ละเสียแล้ว,
อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว, ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้ เกิดขึ้นแล้ว, แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า, นี่ทุกขนิโรธอริยสัจ,
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง, สัจฉิ กาตัพพันติ เม ภิกขะเว,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง,
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง, สัจฉิ กะตันติ เมภิกขะเว,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล อันเราได้กระทำให้แจ้งแล้ว,
อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว, ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้ เกิดขึ้นแล้ว, แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า, นี่ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ,
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง, ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล ควรให้เจริญขึ้น,
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง, ภาวิตันติ เม ภิกขะเว,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล อันเราได้เจริญแล้ว,
ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ, เอวันติปะริวัฏฏัง ท๎วาทะ สาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ปัญญาอันรู้เห็น ตามเป็นจริงแล้วอย่างไร, ในอริยสัจสี่เหล่านี้ของเรา, ซึ่งมีรอบสาม มีอาการสิบสองอย่างนี้ยังไม่หมดจดเพียงใดแล้ว,
เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหม๎เก, สัสสะมะณะ พราหม๎ณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เราจะยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ, ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก, เป็นไปกับด้วย เทวดา มาร พรหม, ในหมู่สัตว์ทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา มนุษย์ ไม่ได้เพียงนั้น,
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ, เอวันติปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็เมื่อใดแลปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไร ในอริยสัจสี่เหล่านี้ของเรา, ซึ่งมีรอบสาม มีอาการสิบสองอย่างนี้หมดจดดีแล้ว,
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหม๎เก, สัสสะมะณะ พราหม๎ณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เมื่อนั้นเรายืนยันตนได้ว่า, เป็นผู้ตรัสรู้ พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ, ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก, เป็นไปกับด้วยเทวดา มาร พรหม, ในหมู่สัตว์ทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา มนุษย์,
ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ,
ก็แลปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา,
อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ,
ว่าความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ, ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก,
อิทะมะโวจะ ภะคะวา,
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสธรรมปริยายอันนี้แล้ว,
อัตตะมะนา ปัจจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง,
พระภิกษุปัญจวัคคีย์, ก็มีใจยินดีเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า,
อิมัส๎มิญจะ ปะนะเวยยา กะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน,
ก็แลเมื่อไวยากรณ์นี้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่,
อายัส๎มะโต โกณฑัญญัส สะ, วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ,
จักษุในธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน, ได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีอายุโกณฑัญญะ,
ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง  สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ,
ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีอันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา, สิ่งทั้งปวงนั้นมีอันดับไปเป็นธรรมดา,
ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก,
ก็ครั้นเมื่อธรรมจักรอันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว,
ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,
เหล่าภุมเทวดา ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น,
เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเนมิคะทาเย, อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง, อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหม๎ เณนะ วา เทเวนะ วา, มาเรนะ วา พรัหมุนา วา
เกนะจิ วา โลกัส๎มินติ,
ว่านั่นจักรคือธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้, อันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว, ในป่าอิสิปตนะมฤคทายวันใกล้เมืองพาราณสี, อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม, แลใครๆในโลกยังไม่ให้เป็นไปได้แล้วดังนี้,
ภุมมานัง เทวานัง สัททังสุต๎วา, จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,
เทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมมหาราช, ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าภุมเทวดา, แล้วก็ยังเสียงให้บันลือลั่น,
จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,
เทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์, ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมมหาราช, แล้วก็ยังเสียงให้บันลือลั่น,
ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,
เทพเจ้าเหล่าชั้นยามา, ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์, แล้วก็ยังเสียงให้บันลือลั่น,
ยามานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,
เทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิต, ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นยามา, แล้วก็ยังเสียงให้บันลือลั่น,
ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,
เทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดี, ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิต แล้วก็ยังเสียงให้บันลือลั่น,
นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,
เทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัสดี, ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดี, แล้วก็ยังเสียงให้บันลือลั่น,
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, พรัหม๎กายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,
เทพเจ้าเหล่าใดที่เกิดในหมู่พรหม, ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัสดี, แล้วก็ยังเสียงให้บันลือลั่น,
เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเนมิคะทาเย, อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง, อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหม๎เณนะ วา เทเวนะ วา, มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัส๎มินติ,
ว่านั่นจักรคือธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้, อันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว, ในป่าอิสิปตนะมฤคทายวันใกล้เมืองพาราณสี, อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม, แลใครๆ ในโลก ยังไม่ให้เป็นไปได้แล้ว ดังนี้,
อิติหะเตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ, ยาวะ พรัหม๎โลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิ,
โดยขณะหนึ่ง ครู่หนึ่งนั้น, เสียงขึ้นไปถึงพรหมโลกด้วยประการฉะนี้,
อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ,
ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้,
สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิ,
ได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้านลั่นไป,
อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ,
ทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ, ได้ปรากฏแล้วในโลก,
อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง,
ล่วงเทวานุภาพของเทพยดาทั้งหลายเสียหมด,
อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ,
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทาน,
อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ,
ว่าโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญ,
อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ ติ,
โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญ,
อิติหิทัง อายัส๎มะโต โกณฑัญญัสสะ, อัญญาโกณฑัญโญ เต๎ววะ นามัง อะโหสีติ.
เพราะเหตุนั้น นามว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้นั่นเทียว, ได้มีแล้วแก่พระผู้มีอายุโกณฑัญญะ, ด้วยประการฉะนี้ แล.